Cloudflare ล่ม สัญญาณอันตรายของโครงสร้างอินเทอร์เน็ตโลกที่เปราะบางกว่าที่คิด

เหตุการณ์ Cloudflare ล่มเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 กลายเป็นหนึ่งในเหตุขัดข้องครั้งใหญ่ที่สุดของโลกออนไลน์ เว็บไซต์ยอดนิยมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นทวิต ล่ม ChatGPT, Spotify, Canva ไปจนถึงเว็บไซต์ของรัฐบาลหลายประเทศ ต่างประสบปัญหาเข้าใช้งานไม่ได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างแรงสะเทือนอย่างหนักให้แก่อินเทอร์เน็ต และทำให้เกิดคำถามสำคัญตามมาว่า โลกออนไลน์กำลังพึ่งพาแพลตฟอร์มหลักเพียงไม่กี่รายมากเกินไปหรือไม่

เกิดอะไรขึ้น?

Cloudflare พบข้อผิดพลาดทางเทคนิคที่เกิดจากระบบภายในของตนเอง โดยเหตุการณ์ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เกิดขึ้นเมื่อระบบจัดการ Bot Traffic ของ Cloudflare สร้างไฟล์ Configuration ขนาดใหญ่ผิดปกติ ส่งผลให้ Proxy ซอฟต์แวร์หลักที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อผู้ใช้กับเว็บไซต์ทั่วโลกเกิดความล้มเหลวพร้อมกันทั่วเครือข่าย ระบบไม่สามารถประมวลผลคำขอจากผู้ใช้ได้ จึงแสดงข้อความ Error 500 หรือไม่สามารถเข้าถึงหน้าเว็บเลย 

หรือหากเปรียบเทียบง่ายๆ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเข้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติหน้าประตู โดยระบบจะตรวจสอบผู้คนทุกคนก่อนเข้า เช่น ตรวจใบหน้า เช็คกระเป๋า หรือกรองคนต้องสงสัยผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่ตั้งใจจะ “ป้องกัน” ปัญหา แต่ในวันหนึ่ง ระบบนี้กลับได้รับ “คู่มือการทำงาน” (Configuration) ที่เยอะเกินไป มีข้อมูลละเอียดจนเกินความจำเป็น และซับซ้อนมากเกินไปสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจหน้าประตูจะอ่านทันในเวลาอันสั้น ผลลัพธ์คือ ประตูห้างทุกบานค้าง ระบบรวน ทำให้ไม่มีใครผ่านเข้าไปได้เลย ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกค้าประจำ หรือแค่เดินผ่านมาเฉย ๆแม้ว่าภายในห้างจะยังเปิดอยู่ ร้านค้าทั้งหมดพร้อมบริการ ไฟยังติด เครื่องคิดเงินยังทำงาน  แต่คุณกลับเข้าไปไม่ได้เลย เพราะ “ประตูหน้าห้าง” ถูกปิดลง ซึ่งเปรียบเสมือนกับ Proxy ของ Cloudflare ที่ทำหน้าที่กลางระหว่างผู้ใช้งานกับเว็บไซต์ เมื่อล่ม ก็เท่ากับการปิดทางเข้าเว็บไซต์ทั้งโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ Cloudflare ก็เคยเกิดเหตุล่มหลายครั้ง เช่น:

  • กรกฎาคม 2019: เกิด CPU Spike จากกฎ Firewall ที่บังคับใช้กับ Traffic ส่งผลให้เว็บไซต์จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงได้
  • มิถุนายน 2022: เกิด Configuration Error ที่ datacenter หลายแห่ง ส่งผลให้เกิดระบบล่มในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้
  • กรกฎาคม 2020: เกิด network route leak จากผู้ให้บริการภายนอก ทำให้ Cloudflare ไม่สามารถเข้าถึงปลายทางได้อย่างถูกต้อง

ทำไมการล่มจึงส่งผลกระทบรุนแรง?

เหตุผลสำคัญคือ Cloudflare ไม่ใช่เพียงผู้ให้บริการ CDN แต่เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานหลักของอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ตั้งแต่การป้องกันการโจมตี DDoS การคัดกรองผู้ไม่หวังดี การทำงานเป็น Reverse Proxy การเร่งความเร็วเว็บผ่าน Edge Network ไปจนถึงการให้บริการด้าน DNS และ Firewall มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของเว็บไซต์ทั่วโลกใช้ Cloudflare ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เมื่อระบบของ Cloudflare ขัดข้อง จึงเท่ากับว่าประตูสู่เว็บไซต์จำนวนมากถูกปิดลงพร้อมกัน ส่งผลให้บริการออนไลน์ขนาดใหญ่ล่มพร้อมกันเป็นวงกว้าง กระทั่งเว็บตรวจสอบปัญหาอย่าง Downdetector ยังล่มตามจากปริมาณทราฟฟิกที่สูงผิดปกติ

สาเหตุการล่ม เมื่อ AI พลาด อินเทอร์เน็ตก็หยุดชะงัก

ข้อมูลที่ออกมาภายหลังเผยว่าต้นเหตุสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้คือการทำงานผิดพลาดของระบบอัตโนมัติหรือ AI ของ Cloudflare ซึ่งสร้างไฟล์ Configuration ที่ใหญ่เกินกว่าระบบจะจัดการได้ ความย้อนแย้งของเหตุการณ์นี้คือ อัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพให้ระบบ กลับกลายเป็นต้นตอของปัญหาที่ใหญ่ที่สุด และส่งผลกระทบในระดับโลกในเวลาเพียงไม่กี่นาที

การปิดตัวลงของระบบนี้ทำให้ Floodgates ของอินเทอร์เน็ต ที่มีหน้าที่สกัดทราฟฟิกอันตรายและเปิดให้เฉพาะผู้ใช้งานที่ปลอดภัยผ่านเข้าไป ถูกปิดลงโดยอัตโนมัติ นั่นหมายความว่าไม่เพียงทราฟฟิกอันตรายเท่านั้นที่จะไม่สามารถผ่านได้ แต่ทราฟฟิกปกติจากผู้ใช้งานทั่วโลกก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน

Cloudflare แก้ไขปัญหาอย่างไร?

หลังจากเกิดปัญหา Cloudflare รีบดำเนินการถอยกลับไฟล์ Configuration ไปใช้เวอร์ชันก่อนหน้าและรีสตาร์ทระบบ Proxy ทั่วโลก พร้อมทั้งอัปเดตสถานการณ์ผ่าน Status Page และบัญชีผู้บริหารระดับสูงอย่างโปร่งใส ภายหลังบริษัทได้เผยแพร่เอกสาร Post-mortem อธิบายสาเหตุและแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอย่างเป็นทางการ

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก...

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก เคส CrowdStrike ในปี 2024 ก็เคยทำโลกไอทีปั่นป่วน ยกตัวอย่างเหตุการณ์คล้ายกันในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของ CrowdStrike บริษัทด้านความปลอดภัยที่ให้บริการ Antivirus แก่องค์กรทั่วโลก โดยอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ผิดพลาดทำให้เครื่อง Windows นับล้านเครื่องเข้าสู่ลูปรีบูตอย่างต่อเนื่อง สายการบิน หน่วยงานรัฐ และองค์กรจำนวนมากต้องหยุดชะงักในทันที แม้สาเหตุของทั้งสองเหตุการณ์จะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือโครงสร้างไอทีของโลกกำลังซับซ้อนขึ้นจนเริ่มเปราะบางต่อความผิดพลาดมากขึ้น

ปัจจุบันปริมาณทราฟฟิกอันตรายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ Botnet มีขนาดใหญ่ขึ้น และการโจมตีจากประเทศต่างๆ มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะเดียวกันโครงสร้างของอินเทอร์เน็ตเองก็กำลังเสื่อมสภาพเหมือนถนนอายุ 30 ปีที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือหากเปรียบเทียบได้อย่างน่าสนใจว่า อินเทอร์เน็ตที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นถนนข้อมูลความเร็วสูง บัดนี้กลายเป็นถนนที่มีทั้งโจรดักปล้นและหลุมบ่อเต็มไปหมด

ทีม IT ขององค์กรควรรับมือเหตุการณ์ลักษณะนี้อย่างไร?

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ดีว่าไม่มีระบบใดล่มไม่ได้ องค์กรควรมีการมอนิเตอร์เว็บไซต์และประสบการณ์ผู้ใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้รู้ปัญหาก่อนลูกค้า ควรออกแบบระบบให้มีผู้ให้บริการหลายรายเพื่อหลีกเลี่ยงจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว รวมถึงควรมีเส้นทางสำรองทั้งในด้าน CDN และ DNS การสื่อสารกับลูกค้าอย่างโปร่งใสเมื่อเกิด Downtime ก็เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่น และทุกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์ควรมีการทบทวนเหตุการณ์เพื่อปรับปรุงระบบรับมือความเสี่ยงในอนาคต

บทเรียนสำคัญสำหรับองค์กร

เหตุการณ์ Cloudflare ล่มครั้งนี้สะท้อนว่าอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่กำลังพึ่งพาโครงสร้างกลางมากเกินไป และแม้กระทั่งระบบอัตโนมัติหรือ AI ที่ออกแบบมาเพื่อความเสถียร ก็อาจเป็นต้นเหตุของปัญหาระดับโลกได้เช่นกัน ผู้ให้บริการรายใหญ่จำเป็นต้องถูกกำกับดูแลมากขึ้น ขณะที่องค์กรเองต้องออกแบบระบบให้มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น และพร้อมรับมือเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสมอ ทั้งหมดนี้คือการเตรียมความพร้อมสู่อนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนของโลกอินเทอร์เน็ตยุคใหม่

โซลูชัน ManageEngine ช่วยองค์กรรับมือได้อย่างไร?

โซลูชันของ ManageEngine มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจสอบสถานะระบบและช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ลักษณะนี้ OpManager Plus สามารถติดตามสุขภาพเครือข่ายและบริการออนไลน์แบบเรียลไทม์ เมื่อเซิร์ฟเวอร์หรือเว็บไซต์ไม่สามารถเข้าถึงได้ ระบบจะเตือนทีม IT ทันที ส่วน Applications Manager จะมอนิเตอร์ประสบการณ์ของผู้ใช้งานปลายทางอย่างละเอียดตั้งแต่เวลาตอบสนองจนถึงความเสถียรของระบบ ขณะที่ Log360 ทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ log จากหลายแหล่ง เพื่อช่วยให้ทีม IT สามารถระบุต้นเหตุของปัญหาและตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติได้อย่างแม่นยำ หรืออ่านต่อได้ที่ : https://www.manageengine.com/th/network-monitoring/

แหล่งที่มา:

  • Cloudflare Blog“Cloudflare outage on November 18, 2025”, Matthew Prince ((18 พ.ย. 2568)

  • Reuters“Cloudflare restores services after outage impacts thousands of internet users” (18 พ.ย. 2568)

  • The Guardian “Cloudflare outage causes error messages across the internet”, Robert Booth (18 พ.ย. 2568)

  • TechCrunch“Cloudflare blames massive internet outage on ‘latent bug’”, Lorenzo Franceschi-Bicchierai (18 พ.ย. 2568)

  • Thairath“Cloudflare ล่ม ทำให้หลายเว็บไซต์เข้าไม่ได้ X – ChatGPT ไม่รอด” (18 พ.ย. 2568)

  • Catchpoint“Cloudflare Outage: A Case for Better CDN Reliability” Kameerath Kareem (3 ก.ค. 2562)

  • CTV News  – "Cybersecurity expert of Cloudflare outage" (19 พ.ย. 2568)
  • Cloudflare BlogDetails of the Cloudflare outage on July 2, 2019” (12 ก.ค. 2562)

  • Cloudflare Blog“Cloudflare outage on July 17, 2020” (18 ก.ค. 2563)

  • Cloudflare Blog – “Cloudflare outage on June 21, 2022” (21 มิ.ย. 2565)

  • Cloudflare“What is Cloudflare?"

  • Imperva "2025 Imperva Bad Bot Report: How AI is Supercharging the Bot Threat" (15 เม.ย. 2568)

  • CrowdStrike "2025 Global Threat Report – CrowdStrike Intelligence findings" (ก.พ. 2568)