ทำความเข้าใจ EDR และ XDR ก่อนตัดสินใจยกระดับความปลอดภัยทั้งองค์กร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภัยไซเบอร์ได้พัฒนาเร็วกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะการโจมตีที่เริ่มต้นจากเครื่องปลายทาง (Endpoint) แล้วค่อย ๆ ไล่เข้าควบคุมระบบเครือข่ายทั้งองค์กร รายงาน IBM Cost of a Data Breach 2024 ระบุว่า เวลาตรวจจับและควบคุมเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลเฉลี่ยอยู่ที่ 277 วัน และ 46% ของเหตุการณ์เริ่มจาก Endpoint ซึ่งเป็นจุดที่มนุษย์ใช้งานมากที่สุด
งานวิจัยของ Gartner (2023) ยังพบว่า กว่า 60% ขององค์กรที่เคยถูกโจมตีรุนแรงไม่มีเครื่องมือ EDR ที่ทำงานแบบ Real time และบริษัทที่ใช้งาน XDR สามารถลดเวลาในการตรวจจับเหตุการณ์ (MTTD) ลงได้มากกว่า 70% เพราะมีข้อมูลจากหลายระบบมารวมวิเคราะห์ในจุดเดียว ช่วยให้ทีม IT และ SOC ตอบสนองเหตุการณ์ได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิม
ดังนั้นการศึกษาว่า XDR และ EDR คืออะไร ช่วยให้องค์กรปลอดภัยขึ้นได้อย่างไร และเหมาะกับองค์กรแบบไหน จะช่วยให้องค์กรของคุณสามารถปรับใช้และประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ
EDR คืออะไร?
Endpoint Detection and Response หรือ EDR คือเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ถูกออกแบบมาเพื่อ
“ตรวจจับ วิเคราะห์ และตอบสนอง” ต่อภัยคุกคามที่เกิดขึ้นบนอุปกรณ์ปลายทาง หรือ Endpoint ขององค์กร เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก หรือ เซิร์ฟเวอร์ โดยมีการทำงานแบบเฝ้าระวังตลอดเวลา หรือ Continuous Monitoring เพื่อมองหาพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ไฟล์ที่รันเองโดยไม่ทราบสาเหตุ การเชื่อมต่อไปยัง IP ที่น่าสงสัย หรือความพยายามยกระดับสิทธิ์ของผู้ใช้
ระบบ EDR ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรม (Behavior Based), Machine Learning, Threat Intelligence และ Forensic Data ในการระบุภัยที่ซับซ้อน ซึ่งช่วยให้ตรวจจับภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ EDR ยังให้ความสามารถในการตอบสนองอัตโนมัติ เช่น isolate เครื่องที่ติดเชื้อ ปิด process อันตราย หรือบล็อกไฟล์ต้องสงสัย เพื่อหยุดการโจมตีตั้งแต่ต้นทางก่อนลุกลามไปยังระบบอื่น ๆ ในองค์กรด้วยเหตุนี้ EDR กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความปลอดภัยที่ทุกองค์กรยุคดิจิทัลจำเป็นต้องมีในการป้องกันเหตุการณ์ไซเบอร์ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ต้นกำเนิดของ EDR
ในช่วงปี 2010–2014 เกิดเหตุการณ์โจมตีครั้งใหญ่หลายเหตุการณ์ เช่น Target breach (2013), Sony Pictures hack (2014) และ APT ต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าองค์กร “ขาดการมองเห็น (visibility)” ที่เพียงพอในระดับ Endpoint ด้วยเหตุนี้ทำให้นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยชื่อดังอย่าง Anton Chuvakin คิดค้นคำว่า “Endpoint Threat Detection and Response (ETDR)” โดยถูกย่อเป็น EDR ในเวลาต่อมา ที่เสริมให้องค์กรสามารถมองเห็นและรับมือกับภัยไซเบอร์ยุคใหม่ที่พัฒนาให้ซับซ้อนมากขึ้นอย่าง Fileless Attack และ Ransomware ที่สามารถหลบซ่อนจาก Signature Based Antivirus ได้อย่างง่ายดาย
ความหมายของ EDR ในแบบของ Gartner และ Forrester แตกต่างกันยังไง
Gartner ให้นิยาม EDR (Endpoint Detection and Response) ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อ “ตรวจจับ วิเคราะห์ และตอบสนอง” ต่อภัยคุกคามบนอุปกรณ์ปลายทางผ่านการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง (Continuous Monitoring) และการเก็บข้อมูลระดับลึกจาก Endpoint เพื่อใช้ในการสืบสวนเหตุการณ์ (Forensics) และตอบสนองแบบอัตโนมัติ เช่น Isolate Device หรือ Kill Process จุดเน้นของ Gartner คือการมอง EDR เป็น “เครื่องมือเฉพาะทาง” ที่ช่วยเพิ่ม Visibility บน Endpoint และสนับสนุนทีม SOC ให้สามารถตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่ Forrester มอง EDR ในมุมที่กว้างกว่าโดยนิยาม EDR ว่าเป็นฟังก์ชันที่ถูกรวมอยู่ภายในชุดเครื่องมือรักษาความปลอดภัยปลายทาง หรือ Endpoint Security Suite มากกว่าที่จะเป็นระบบแบบแยกเดี่ยว Forrester ให้ความสำคัญกับการผสาน EDR เข้ากับความสามารถของ Endpoint Protection เช่น Anti malware, Prevention, Behavioral Analysis และ Response โดยเน้นว่าคุณค่าที่แท้จริงของ EDR อยู่ที่ความสามารถของแพลตฟอร์มในการลด dwell time และตรวจจับพฤติกรรมของผู้โจมตี (Attacker Behavior) ได้อย่างแม่นยำในสภาพแวดล้อมที่ใช้งานจริง
ดังนั้นความแตกต่างหลักระหว่างทั้งสองสถาบันคือ Gartner มอง EDR เป็น Platform Centric หรือเป็นแพลตฟอร์มด้านการเพิ่มการมองเห็นและตรวจจับโดยตรง ในขณะที่ Forrester มองเป็น Integration Centric หรือเป็นองค์ประกอบหนึ่งในโซลูชัน Endpoint Security Platform ซึ่งเน้นการทำงานรวมกันกับฟังก์ชันอื่น ๆ
XDR คืออะไร?
Extended Detection and Response หรือ XDR คือแพลตฟอร์มความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อ “ขยายขอบเขตการตรวจจับและตอบสนอง” จากเดิมที่มองเห็นเฉพาะบน Endpoint หรือ ระบบ EDR ไปสู่การมองเห็นภัยคุกคามทั้งระบบขององค์กร ไม่ว่าจะเป็น Network, Cloud, Email, Identity, Application และ Log ต่าง ๆ โดย XDR จะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมาวิเคราะห์ร่วมกันแบบอัตโนมัติ เพื่อระบุความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ (Correlation) และสร้างภาพรวมของเส้นทางการโจมตีทั้งหมด (Attack Chain) ทำให้สามารถตรวจจับภัยซับซ้อน เช่น Ransomware, Lateral Movement และ Multi Stage Attacks ได้อย่างแม่นยำกว่าเครื่องมือเดี่ยว ๆ ความสามารถของ XDR ยังรวมถึงการตอบสนองอัตโนมัติ เช่น Isolate Endpoint, Block IP/Domain, Disable User หรือหยุด Process ต้องสงสัย ช่วยลดเวลาในการตรวจจับ (MTTD) และตอบสนองเหตุการณ์ (MTTR) ได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น XDR จึงถูกมองว่าเป็น “วิวัฒนาการขั้นต่อไปของ EDR” ที่ช่วยให้องค์กรมีการมองเห็นด้านความปลอดภัยแบบครบวงจรและป้องกันภัยคุกคามได้อย่างเชิงรุกในยุคที่รูปแบบการโจมตีซับซ้อนขึ้นทุกวัน
ต้นกำเนิดของ XDR
ต้นกำเนิดของ XDR (Extended Detection and Response) เกิดขึ้นเพราะโลกไซเบอร์กำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ และ EDR เพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้ภาพรวมของการโจมตีที่เชื่อมโยงหลายระบบได้ แม้ EDR จะป้องกันเครื่องปลายทางได้ดี แต่การโจมตีจริงมักเกิดแบบ “Multi Vector” หรือ การโจมตีที่เริ่มจากอีเมล ไป Endpoint ไปเครือข่ายและเข้าสู่คลาวด์ ซึ่ง EDR ไม่มีความสามารถมากพอในการป้องกัน
ดังนั้นการตามหาโซลุชันที่รวมข้อมูลด้านความปลอดภัยจาก endpoint, network และ cloud ไว้ในจุดเดียวจึงเกิดขึ้น ในปี 2018 Palo Alto Networks เสนอคำว่า XDR ครั้งแรกโดยเน้นไปที่การรวมศูนย์ข้อมูลภัยคุกคามซึ่งก่อนหน้านี้กระจัดกระจายอยู่ตามระบบต่าง ๆ และไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเกิดขึ้นของ XDR จึงเป็นวิวัฒนาการที่ต่อยอดจาก EDR โดยนำข้อมูลจากหลายมิติของความปลอดภัยมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการโจมตีแบบครบเส้นทาง และตอบสนองได้รวดเร็วกว่าเทคโนโลยีใด ๆ ในยุคนั้น
ความหมายของ XDR ในแบบของ Gartner และ Forrester แตกต่างกันยังไง
Gartner ให้นิยาม XDR (Extended Detection and Response) ว่าเป็นแพลตฟอร์มความปลอดภัยแบบบูรณาการที่รวมข้อมูลจากหลายแหล่ง—เช่น Endpoint, Network, Email, Identity, Cloud และ Application เข้ามาวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคาม และลดภาระงานของทีม SOC โดยระบบต้องมีความสามารถด้าน Detection, Analytics, Correlation, Investigation และ Automated Response ในคอนโซลเดียว Gartner มอง XDR เป็น “โซลูชันที่รวมศูนย์และเชื่อมต่อกันอย่างลึก (Deep Integration)” ที่ออกแบบมาเพื่อให้ทีมปฏิบัติการความปลอดภัยทำงานได้รวดเร็วขึ้น พร้อมลดความซับซ้อนของเครื่องมือหลายตัวที่กระจัดกระจายอยู่ในองค์กร
ในขณะเดียวกัน Forrester มอง XDR เป็นวิวัฒนาการจาก EDR ที่เพิ่มมิติการรวบรวมข้อมูลจากระบบอื่น เช่น network และ cloud แต่ยังคงยึดจุดศูนย์กลางที่ Endpoint เป็นหลัก Forrester ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ความปลอดภัย (Security Outcomes) มากกว่าโครงสร้างของเทคโนโลยี โดย XDR ตามมุมมองของ Forrester ต้องสามารถ “รวบรวมข้อมูลภัยคุกคามจากแหล่งสำคัญในองค์กร, ทำ Correlation อัตโนมัติ, และสนับสนุนการตอบสนองที่ลด Dwell Time ของผู้โจมตีได้จริง” นอกจากนี้ Forrester เน้นให้ XDR ต้องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความง่ายในการใช้งานแก่ทีม SOC มากกว่าที่จะมุ่งเน้นการบูรณาการระดับโครงสร้างแบบเข้มข้นเหมือนมุมมองของ Gartner
Gartner และ Forrester แตกต่างตรงที่ Gartner มอง XDR เป็น “แพลตฟอร์มศูนย์กลางความปลอดภัยแบบรวมลึก” (Deeply Integrated Security Platform) ที่ต้องรวบรวมข้อมูลจากหลายระบบในระดับข้อมูลเชิงลึกและตอบสนองจากคอนโซลเดียว ส่วน Forrester มอง XDR เป็น “Extension ของ EDR” ที่ขยายความสามารถออกไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของการตรวจจับมากกว่าเน้นความครบวงจรของแพลตฟอร์ม Gartner จึงเน้น Integration + Unification ขณะที่ Forrester เน้น Endpoint First + Outcome Driven ทำให้ XDR ในแบบ Gartner มีขอบเขตใหญ่กว่าครอบคลุมมากกว่า ในขณะที่ Forrester มีมุมมองที่เน้นความเป็นจริงของการใช้งานและผลลัพธ์ของทีม SOC เป็นหลัก
ข้อแตกต่างของ EDR vs XDR
แม้จะมีพื้นฐานการทำงานคล้ายกันและถูกพัฒนามาจากแนวคิดที่ต้อง “ตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างรวดเร็ว”เหมือนกัน แต่ EDR และ XDR มีความแตกต่างอย่างชัดเจนดังนี้
| EDR | XDR | |
|---|---|---|
| ขอบเขตการตรวจจับ | ตรวจจับได้เฉพาะ Endpoint | ตรวจจับได้ทั้ง Endpoint + Network + Email + Cloud + Identity |
| ขอบเขตการเก็บข้อมูล | เก็บเฉพาะข้อมูลของเครื่องผู้ใช้ เช่น Logs, Process, File Activity | เก็บข้อมูลจากหลายระบบและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ร่วมกัน |
| การตอบสนองอัตโนมัติ | อัตโนมัติระดับ Endpoint เช่น Block File, Stop Process | อัตโนมัติระดับองค์กร เช่น Block Domain, Disable User, Orchestration ข้ามหลายระบบ |
| ความสามารถในการขยายตัว | ออกแบบมาสำหรับการมอง Endpoint เป็นหลัก | ขยายได้ง่ายตามสเกลองค์กร เหมาะสำหรับ SOC ที่ต้องการมุมมองแบบ unified |
การเลือกระหว่าง EDR vs XDR
การเลือกใช้ EDR และ XDR สำหรับงาน Detection ควรพิจารณาจากโครงสร้างระบบ ความซับซ้อนของภัยคุกคาม และระดับความสามารถที่ต้องการในทีม Security ขององค์กร โดยสามารถเลือกตามความเหมาะสมดังนี้
- ขนาดและความซับซ้อนของระบบ IT
EDR: เหมาะกับองค์กรที่ endpoint เป็นจุดเสี่ยงหลัก และมีโครงสร้างระบบไม่ซับซ้อนมาก
XDR: เหมาะกับองค์กรที่มีหลายระบบเชื่อมต่อกัน เช่น Network, Cloud, AD, Email
- Visibility ที่องค์กรต้องการ
EDR: ให้การมองเห็นลึกในเครื่องผู้ใช้ เช่น Process, File Activity
XDR: ให้การมองเห็นแบบ End To End เห็นความเชื่อมโยงข้ามระบบทั้งหมด
- ประเภทภัยคุกคามที่ต้องรับมือ
EDR: เพียงพอสำหรับ Malware, Ransomware, Fileless Attack ที่เริ่มบน Endpoint
XDR: เหมาะกับ Multi Vector Attacks, Advanced Persistent Threats (APT), Lateral Movement
- ความพร้อมของทีม SOC หรือ IT Security
EDR: เหมาะกับทีมเล็ก–กลางที่ต้องการเครื่องมือชัดเจนบน endpoint
XDR: เหมาะกับทีมที่ต้องการ Correlation อัตโนมัติเพื่อลดภาระในการวิเคราะห์ข้อมูล
- ความสามารถด้าน Automated Detection & Response
EDR: ตอบสนองระดับเครื่อง เช่น Stop Process, Isolate Device
XDR: ตอบสนองข้ามระบบ เช่น Block Domain, Disable User, Orchestrate Workflows
- งบประมาณและ ROI
EDR: ลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่า เหมาะกับองค์กรที่ต้องการฐานความปลอดภัยขั้นต่ำที่แข็งแรง
XDR: ลงทุนสูงกว่า แต่ให้ผลลัพธ์ด้านความปลอดภัยครอบคลุมมาก เหมาะกับองค์กรที่ต้องลด dwell time อย่างจริงจัง
- การขยายระบบในอนาคต (Scalability)
EDR: ขยายตามจำนวน endpoint
XDR: ขยายได้ทั้งระบบ รองรับ Zero Trust, Hybrid Cloud และ Multi Cloud
กรณีศึกษาของ EDR และ XDR
ในสภาพแวดล้อมของบริษัทสมัยใหม่ EDR และ XDR มีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นทั้งจากพนักงาน การใช้งานอุปกรณ์ทำงาน และระบบที่เชื่อมโยงภายในองค์กร ปัจจุบันหลายบริษัทต้องรับมือกับภัยคุกคามแบบผสมผสาน (Hybrid & Multi Stage Attacks) ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นนี่คือตัวอย่างเหตุการณ์การใช้ EDR และ XDR ในบริษัท
กรณีศึกษาของ EDR
ป้องกัน Ransomware บนเครื่องพนักงาน : EDR ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ไฟล์ถูกเข้ารหัสจำนวนมาก หรือ Process ที่รันโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อม isolate เครื่องพนักงานโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้ลามไปยัง Server หรือ File Share ของบริษัท
ป้องกันการโจมตีจากไฟล์แนบอีเมล (Malicious Attachment) : เมื่อพนักงานเปิดไฟล์อันตราย เช่น .docm, .exe, หรือ script แปลก ๆ EDR จะตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติและบล็อกการรันทันที ลดความเสี่ยงจาก phishing และ malware ที่เจาะระบบจากเครื่องผู้ใช้
ตรวจสอบความผิดปกติของพนักงานหรือ Insider Threat : EDR เก็บข้อมูล Process, File Access, USB Usage และการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ ทำให้บริษัทเห็นกิจกรรมเสี่ยง เช่น การคัดลอกไฟล์ออกไป หรือการดาวน์โหลดโปรแกรมผิดประเภท
กรณีศึกษาของ XDR
ตรวจจับการโจมตีหลายขั้นตอน (Multi Stage Attack) : XDR เชื่อมข้อมูลจาก Email → Endpoint → Network → AD → Cloud ทำให้เห็นภาพรวม พนักงานคลิกลิงก์ → เครื่องติด payload → ผู้โจมตีใช้ credential → เคลื่อนเข้าหา server บริษัทสามารถหยุดการโจมตีได้ก่อนเกิดผลกระทบใหญ่
ป้องกันการเคลื่อนที่ข้ามระบบ (Lateral Movement) : เช่น ผู้โจมตีขโมยรหัสพนักงาน → ผ่านไปยังเครื่องอื่น → ไปยัง server หรือ database XDR ใช้ข้อมูล Network + Identity + Endpoint ช่วยจับความผิดปกติที่ EDR เพียงอย่างเดียวมองไม่เห็น
ตรวจจับความผิดปกติบน Cloud (เช่น Microsoft 365, Google Workspace และ AWS) เช่น login ผิดตำแหน่งผิดเวลา, Oauth token ที่ผิดปกติ, การดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมากจาก OneDrive XDR ผสานข้อมูล Cloud+Identity ทำให้ตรวจจับได้แม่นยำกว่า
EDR และ XDR กับโซลูชัน SIEM
XDR ถือเป็นแนวคิดใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับความสามารถของ SIEM หรืออย่างน้อยก็เป็นมุมมองที่ผู้พัฒนาโซลูชัน XDR มักสื่อสารออกมา บางองค์กรมองว่า XDR คือแพลตฟอร์มที่ “พัฒนาไปอีกขั้น” โดยเน้นการจัดการและลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามอย่างเข้มข้นมากกว่า SIEM ซึ่งมีแกนกลางมาจากการบริหารจัดการด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการตรวจจับภัยคุกคามเป็นเพียงผลลัพธ์หนึ่งที่ตามมา XDR อาศัยกลไกการตรวจจับหลายรูปแบบในการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากให้กลายเป็นคลังข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ (Rich Data Repository) ก่อนจะวิเคราะห์และเจาะเข้าไปในชุดข้อมูลเฉพาะส่วน เพื่อให้มองเห็นพฤติกรรมและกิจกรรมบนเครือข่ายได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น
EDR มีความสัมพันธ์กับ SIEM ในแบบ “เชื่อมโยงโดยธรรมชาติ” มากกว่า เนื่องจาก EDR ทำหน้าที่ประมวลผล log ดิบ ตรวจจับเหตุการณ์ที่น่าสงสัย และส่งเฉพาะ alert ที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านั้นไปยังระบบ SIEM ในขณะที่ SIEM ทำหน้าที่รวบรวมและประมวลผลข้อมูลความปลอดภัยจากหลายแพลตฟอร์มที่ส่งเหตุการณ์เข้ามา เช่น EDR, XDR, Firewall, อุปกรณ์เครือข่าย, ระบบ IDS/IPS และทำการเชื่อมโยงเหตุการณ์เหล่านี้เข้าด้วยกัน ก่อนวิเคราะห์และแจ้งเตือนตามความรุนแรง แต่เพราะปริมาณข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามามีจำนวนมาก ทำให้ทีม SOC มักเผชิญกับปัญหา “Alert Fatigue” หรือภาวะล้าจากการต้องจัดการกับจำนวนการแจ้งเตือนที่มากเกินไปอยู่เสมอ สนใจทดลองใช้งานฟรี 30 วัน ได้ที่นี่
เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ : https://www.manageengine.com/log-management/cyber-security/soar-xdr-edr.html
References :งานวิจัยของ Gartner (2023)

