Data Breach: ภัยไซเบอร์ที่องค์กรต้องรับมือก่อนสาย

การรั่วไหลของข้อมูลได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและหลายภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก รายงานจาก Verizon DBIR 2023 ระบุว่าในปี 2023 มีเหตุการณ์ Data Breach มากกว่า 8,200 ครั้งทั่วโลก และเพิ่มขึ้นกว่า 20%ในปี 2024 สะท้อนให้เห็นว่าการรั่วไหลของข้อมูลกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ 68% ของเหตุการณ์ Data Breachในปี 2025 มี “องค์ประกอบมนุษย์ (Human Element)” เช่น การคลิกลิงก์หลอก, โพสต์ Phishing โดยเฉลี่ยแล้ว Phishing อยู่ที่ 16% ของเหตุการณ์ทั้งหมด ในด้านผลกระทบทางการเงิน IBM “Cost of a Data Breach Report 2025” พบว่า ค่าเฉลี่ยความเสียหายของเหตุการณ์ Data Breach ทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ USD 4.44 ล้าน ซึ่งลดลงจากปี 2024 และถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีสันนิษฐานว่าเกิดจากที่องค์กรสามารถระบุและควบคุมเหตุการณ์ได้เร็วขึ้นด้วยการใช้ AI และระบบอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึง Data Breach ในไทยแล้ว มีเคสที่แจ้ง PDPC หรือ ได้รับการเปิดเผยอยู่ที่ 30-50 เคสต่อปี ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องเสียค่าปรับ PDPA อยู่ที่ 2-4 ล้านบาท เพราะฉะนั้นด้วยผลกระทบเหล่านี้ทำให้บริษัทต้องเรียบรู้เกี่ยวกับ Data Breach อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็น Data Breach คืออะไร, Data Breach ประเภทต่างๆ และ Data Breach Pdpa มีอะไรบ้าง

data breach ใน ไทย 

Data Breach คืออะไรกันแน่?

Data Breach คำนี้ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรสำคัญของทุกองค์กร แล้ว Data Breach หรือ ข้อมูลรั่วไหลที่ทุกคนพูดถึงหมายถึงอะไร

โดยคำว่า Data Breach คือ เหตุการณ์ที่ข้อมูลถูกเข้าถึง ถูกขโมย ถูกใช้ หรือถูกเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของข้อมูล ไม่ว่าจะเกิดจากการโจมตีของแฮ็กเกอร์ ความผิดพลาดของพนักงาน หรือการตั้งค่าระบบที่ไม่ปลอดภัยก็ตาม โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์ Data Breach ไม่ได้ส่งผลกระทบภายในของบริษัทอย่างเดียวเพราะในประเทศไทยมีกฎหมาย PDPA ที่เป็นกฎหมายเพื่อคุ้มครองการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะ ที่หากองค์กรใดไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษตามข้อกำหนดที่ระบุไว้

Data Breach ประเภทต่างๆ และ Data Breach มี อะไร บ้าง

Confidentiality Breach

Confidentiality Breach คือการที่ข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลสำคัญถูกเข้าถึงโดยบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ ไม่ว่าจะเกิดจากการตั้งค่าระบบผิดพลาด การโดนแฮ็ก หรือความประมาทของผู้ใช้งาน เป็นเหตุการณ์ที่พบมากที่สุดใน Data Breach ปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น การตั้งค่า Cloud Storage เป็นสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ การส่งไฟล์ข้อมูลผิดคน หรือระบบมีช่องโหว่จนแฮ็กเกอร์สามารถดึงฐานข้อมูลลูกค้าออกไปได้โดยง่าย เหตุการณ์ประเภทนี้สร้างความเสียหายสูงเพราะข้อมูลรั่วไหลออกไปสู่บุคคลภายนอกโดยตรง ซึ่งตาม PDPA จะถือว่าเป็น Personal Data Breach ที่ต้องแจ้งต่อสำนักงาน PDPC ภายใน 72 ชั่วโมงทันที

Integrity Breach 

Integrity Breach เกิดขึ้นเมื่อข้อมูลถูกแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสูญเสียความถูกต้องและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร เช่น แฮ็กเกอร์แก้ไขข้อมูลบัญชีลูกค้า การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle ทำให้ข้อมูลระหว่างการส่งถูกดัดแปลง หรือพนักงานภายในเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์ลักษณะนี้แม้อาจไม่ทำให้ข้อมูลรั่วไหลออกไปภายนอก แต่ความผิดเพี้ยนของข้อมูลอาจส่งผลให้การตัดสินใจขององค์กรผิดพลาด เกิดความเสียหายทางธุรกิจ และมีผลต่อความถูกต้องของระบบสำคัญอย่างมาก

Availability Breach

Availability Breach หมายถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ข้อมูลไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือสูญหายจนใช้งานไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์หรือความผิดพลาดของอุปกรณ์ เช่น การถูกโจมตีด้วย Ransomware จนไฟล์ทั้งหมดถูกล็อก ฮาร์ดดิสก์พังโดยไม่มีระบบสำรองข้อมูล หรือเซิร์ฟเวอร์ล้มเหลวทำให้เอกสารสำคัญสูญหาย เหตุการณ์ประเภทนี้กระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานขององค์กรและอาจทำให้ระบบหยุดชะงักเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและอาจนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจมหาศาล

External Attack

External Attack คือ Data Breach ที่เกิดจากผู้โจมตีภายนอกองค์กร เช่น แฮ็กเกอร์ที่ใช้ช่องโหว่ในระบบเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลหรือขโมยข้อมูลสำคัญ การโจมตีในรูปแบบนี้มีหลายวิธี เช่น Malware, Phishing, SQL Injection, Brute-force และ Credential Stuffing เหตุการณ์ลักษณะนี้มักเกิดจากการขาดระบบป้องกันที่ดีหรือการละเลยการอัปเดต Patch ความปลอดภัย ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

Insider Threat 

Insider Threat คือการที่บุคลากรภายใน เช่น พนักงาน ผู้รับเหมา หรืออดีตพนักงาน เป็นผู้ทำให้ข้อมูลรั่วไหล ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น พนักงานนำข้อมูลลูกค้าไปขาย ส่งข้อมูลผิดคน แชร์ไฟล์ในช่องทางที่ไม่ปลอดภัย หรือไม่ปิดบัญชีพนักงานที่ลาออกจนมีผู้ไม่หวังดีเข้ามาใช้บัญชีนั้นได้ ความเสี่ยงประเภทนี้มักถูกประเมินต่ำ แต่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบรุนแรง เนื่องจากคนภายในมักมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าคนภายนอก

Misconfiguration 

Misconfiguration คือเหตุการณ์ที่เกิดจากการตั้งค่าระบบผิด เช่น เปิดฐานข้อมูลหรือ Cloud Storage เป็น public โดยไม่ตั้งใจ เปิดพอร์ตที่ไม่ควรเปิด หรือระบบ Authentication ถูกตั้งค่าผิดจนใครก็เข้าถึงข้อมูลได้ เป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของ Data Breach ในยุคคลาวด์ปัจจุบัน เพราะเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อยก็ทำให้ข้อมูลจำนวนมหาศาลรั่วไหลสู่สาธารณะ โดยไม่ต้องมีการโจมตีทางไซเบอร์ใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเลย

Physical Loss 

Physical Loss เกิดขึ้นเมื่ออุปกรณ์ที่เก็บข้อมูล เช่น โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ แฟลชไดรฟ์ หรือเอกสารจริงสูญหายหรือถูกขโมย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุปกรณ์เหล่านั้นไม่มีการเข้ารหัสหรือไม่มีการตั้งรหัสผ่านป้องกัน ผู้ที่ได้อุปกรณ์ไปอาจอ่านหรือใช้ข้อมูลภายในได้ทันที เหตุการณ์ลักษณะนี้เป็นสาเหตุที่พบมากในองค์กรที่พนักงานนำอุปกรณ์ติดตัวออกนอกสถานที่ และถือเป็น Personal Data Breach ตาม PDPA ที่ต้องรายงานเช่นกัน

Data Breach เกิดขึ้นจากสาเหตุใด

การเกิด Data Breach คือการที่ข้อมูลของผู้ใช้รั่วไหลจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ซึ่งกว่า 50% ของการรั่วไหลของข้อมูลมักมาจาก“ปัจจัยมนุษย์” หรือ “พฤติกรรมของผู้ใช้” โดยมีสาเหตุหลักๆทั้งภายนอกและภายในดังนี้

ระบบความปลอดภัยต่ำ (Weak Security)

Weak Security เกิดจากการขาดมาตรการความปลอดภัยพื้นฐานที่ควรมีในองค์กร อย่างการไม่ติดตั้ง Firewall หรือระบบตรวจจับการบุกรุกอย่าง IDS/IPS การใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันเก่าที่ไม่ได้อัปเดต Patch รวมถึงการไม่มีระบบเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกอ่านได้แม้ถูกขโมย นอกจากนี้ยังรวมถึงการตั้งค่าระบบคลาวด์ผิดพลาด (Cloud Misconfiguration) เช่น การเปิด Bucket ให้เป็น Public โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งล้วนเป็นช่องโหว่ที่ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถเจาะระบบผ่านจุดเล็ก ๆ และเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างง่ายดายหากไม่มีการ Harden ระบบหรือกำหนดค่าความปลอดภัยอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก

รหัสผ่านที่ง่ายต่อการคาดเดา (Password Attack)

การตั้งรหัสผ่านที่อ่อนแอเกินไปอย่างเช่น “123456”, “password”, วันเกิด หรือใช้รหัสผ่านซ้ำในหลายบัญชีเป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ทำให้แฮ้กเกอร์ใช้เทคนิคอย่าง Brute-force, Credential Stuffing หรือ Password Spraying เพื่อเจาะเข้าสู่ระบบได้อย่างรวดเร็ว จากสถิติพบว่า กว่า 81% ของเหตุการณ์ Data Breach เกิดจากรหัสผ่านที่ถูกขโมยหรือไม่ปลอดภัย เพราะรหัสผ่านเป็นด่านแรกของการยืนยันตัวตน ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้เข้าใจได้ว่าการละเลยนโยบายรหัสผ่านที่รัดกุมอาจทำให้องค์กรสูญเสียข้อมูลสำคัญหรือถูกเข้าควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดีได้ง่ายกว่าที่คิด

การโจมตีทางวิศวกรรมสังคม (Social Engineering Attacks)

การโจมตีทางวิศวกรรมสังคม คือ การที่ ผู้โจมตีไม่ได้เน้นเจาะระบบเทคนิคโดยตรง แต่ใช้วิธีหลอกล่อ “มนุษย์” ให้ทำตาม ไม่ว่าจะเป็นการคลิกลิงก์ปลอม การดาวน์โหลดไฟล์อันตราย หรือการกรอกข้อมูลเข้าสู่แบบฟอร์มหลอกลวง โดยแฮ็กเกอร์มักปลอมตัวเป็นฝ่ายไอที ผู้บริหาร หรือบริการที่ผู้ใช้คุ้นเคย เช่น ธนาคาร ไปรษณีย์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้เหยื่อตกใจและทำตามโดยไม่ทันคิด โดยการโจมตีแบบนี้เป็นการโจมตีที่มีประสิทธิภาพสูง และ พบบ่อยที่สุด เพราะจากที่กล่าวถึงไป จากรายงาน Verizon DBIR 2025 กล่าวว่า Data Breach กว่า 68% เกี่ยวข้องกับ Human Element และรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือ Phishing ซึ่งคิดเป็น 16% ของเหตุการณ์ทั้งหมด

ภัยคุกคามจากภายใน (Insider Threats)

ภัยคุกคามจากภายใน (Insider Threats) เป็นหนึ่งในสาเหตุของ Data Breach ที่หลายองค์กรประเมินต่ำเกินไป เพราะมักเกิดจากบุคคลที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบอยู่แล้วโดยอาจเกิดจากการกระทำโดยตั้งใจ เช่น การขโมยฐานข้อมูลลูกค้าไปขายหรือส่งต่อให้บุคคลภายนอก หรืออาจเกิดจากความประมาท เช่น ส่งไฟล์ผิดคน แชร์ข้อมูลในช่องทางที่ไม่ปลอดภัย หรือเก็บข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ส่วนตัวที่ไม่มีการป้องกัน และเมื่อองค์กรไม่มีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control) หรือไม่มีการตรวจสอบการใช้งานระบบอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้ภายในสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าที่จำเป็น ส่งผลให้ความเสี่ยงของการรั่วไหลเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ (Drive-by Download)

การดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ (Drive-by Download) เป็นวิธีการโจมตีที่อาศัยพฤติกรรมของผู้ใช้เป็นหลัก ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายเพียงแค่เข้าเว็บไซต์ที่ถูกฝังโค้ดอันตราย หรือคลิกลิงก์จากอีเมลและโซเชียลมีเดียที่ไม่น่าเชื่อถือ มัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดเข้าสู่อุปกรณ์โดยอัตโนมัติและเริ่มทำงานทันทีโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว มัลแวร์จาก Drive-by Download อาจถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูล เก็บคีย์ล็อกเกอร์เพื่อดักรหัสผ่าน เปิดทางให้แฮ็กเกอร์มีช่องทางที่ทำให้เกิด Data Breach ขนาดใหญ่ภายในองค์กร การโจมตีรูปแบบนี้จึงเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะไม่เพียงเกิดขึ้นง่าย แต่ยังอาศัยความผิดพลาดเล็ก ๆ ของผู้ใช้ที่อาจมองไม่เห็นความเสี่ยงในทันที

อุปกรณ์สูญหายหรือถูกขโมย

การสูญหายหรือถูกขโมยของอุปกรณ์ เช่น โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือแม้แต่ USB Drive ถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ Data Breach โดยเฉพาะในองค์กรที่ยังไม่มีมาตรการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) หรือระบบยืนยันตัวตนหลายชั้น เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้ถูกพกพาออกนอกพื้นที่ทำงานและหายไป ผู้ไม่หวังดีอาจเข้าถึงข้อมูลภายในได้ทันที ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดจากความประมาทของมนุษย์และการที่องค์กรไม่ได้กำหนดนโยบายด้าน Mobile Device Security ที่เข้มงวด ส่งผลให้การสูญหายเพียงครั้งเดียวอาจกลายเป็น Personal Data Breach ตาม PDPA และทำให้องค์กรต้องเผชิญกับความเสียหายทั้งทางกฎหมายและชื่อเสียงโดยไม่ทันตั้งตัว

ผลกระทบของ Data Breach ต่อองค์กรและบุคคล

เหตุการณ์ Data Breach ส่งผลกระทบรุนแรงทั้งต่อองค์กรและต่อเจ้าของข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน กฎหมาย ชื่อเสียง หรือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการ สำหรับองค์กร การรั่วไหลของข้อมูลนำไปสู่ค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล ทั้งค่าปรับตามกฎหมายอย่าง PDPA ค่าตรวจสอบระบบ ค่าที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระบบที่ถูกโจมตี นอกจากนี้ ยังทำให้ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นจากลูกค้าลดลงอย่างมาก และทำให้ความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวลดลง ขณะเดียวกัน การหยุดชะงักของระบบในช่วงที่ต้องสอบสวนเหตุการณ์หรือปิดช่องโหว่ก็ทำให้การดำเนินธุรกิจไม่เป็นไปตามปกติ ส่งผลต่อประสิทธิภาพและรายได้โดยตรง

ในส่วนของบุคคลที่ข้อมูลถูกละเมิด ผลกระทบก็รุนแรงและไม่แตกต่างกัน การที่ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล เช่น หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลการเงิน อาจถูกนำไปใช้เพื่อการปลอมตัว (Identity Theft) เปิดบัญชี กู้เงิน ซื้อสินค้า หรือทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต 

ดังนั้น Data Breach ไม่ใช่เพียงปัญหาระดับเทคนิค แต่เป็นปัญหาเชิงธุรกิจและสังคมที่ส่งผลกระทบกว้างไกล และทุกองค์กรจำเป็นต้องเข้าใจผลกระทบเหล่านี้อย่างลึกซึ้งเพื่อเตรียมพร้อม วางแผนป้องกัน และตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

Data Breach Pdpa คืออะไร

องค์กรต้องรับผิดชอบทันที เพราะเป็นสถานการณ์ที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกเข้าถึง ใช้ เปิดเผย แก้ไข หรือสูญหายโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจเกิดจากการถูกแฮ็ก การตั้งค่าระบบผิดพลาด ความประมาทของพนักงาน ไปจนถึงการจัดการข้อมูลที่ไม่เหมาะสม เมื่อเกิดเหตุ Personal Data Breach ขึ้น องค์กรต้องประเมินความเสี่ยงและตัดสินว่าเหตุการณ์นั้น “อาจกระทบสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลหรือไม่” หากใช่ ต้องรายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ภายใน 72 ชั่วโมง นับจากที่พบเหตุการณ์ พร้อมแจ้งรายละเอียดถึงลักษณะของข้อมูลที่รั่วไหล จำนวนผู้ได้รับผลกระทบ ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และมาตรการที่ได้ดำเนินการเพื่อควบคุมสถานการณ์ นอกจากนี้ หากเหตุการณ์มี “ความเสี่ยงสูง” เช่น ข้อมูลทางการแพทย์ ข้อมูลการเงิน หรือหมายเลขบัตรประชาชนรั่วไหล องค์กรยังต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบโดยตรงด้วย เพื่อให้สามารถป้องกันหรือบรรเทาความเสียหายได้ทันท่วงที

แม้บางกรณีจะไม่ต้องรายงาน PDPC แต่ PDPA กำหนดชัดเจนว่าองค์กรต้องบันทึกรายละเอียดเหตุการณ์ไว้ทั้งหมดเพื่อให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ ขณะเดียวกัน องค์กรยังต้องดำเนินการปิดช่องโหว่ ปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัย และวางแผนป้องกันเหตุซ้ำอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบระบบ การจัดทำนโยบายด้านความปลอดภัย การสื่อสารภายในองค์กร หรือการฝึกอบรมพนักงาน ข้อกำหนดทางกฎหมายยังระบุบทลงโทษที่เข้มงวด ทั้งค่าปรับทางปกครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาทต่อความผิดหนึ่งครั้ง ค่าสินไหมทางแพ่งที่ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องเรียกร้องได้ รวมถึงโทษอาญาในกรณีรุนแรง เช่น การเปิดเผยข้อมูลโดยเจตนา

เหตุการณ์จริงในไทยหลายกรณี เช่น ข้อมูลผู้ป่วยที่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ข้อมูลลูกค้าหลายหมื่นรายที่ถูกพนักงานภายในนำออกไปขาย ตลอดจนข้อมูลประชาชนจำนวนมหาศาลที่ปรากฏบน Dark Web สะท้อนให้เห็นว่า Data Breach ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของระบบไอที แต่เป็นปัญหาระดับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และความรับผิดชอบทางกฎหมายโดยตรง PDPA จึงทำให้ทุกองค์กรในไทยต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลมากกว่าที่เคย พร้อมออกแบบกระบวนการป้องกัน ควบคุม และตอบสนองเหตุการณ์รั่วไหลอย่างรัดกุมเพื่อคุ้มครองทั้งองค์กรและเจ้าของข้อมูลในระยะยาว.

แนวทางการป้องกันข้อมูลจาก Data Breach

แม้ Data Breach จะเป็นภัยไซเบอร์ที่เกิดจากทั้งปัจจัยด้านเทคนิคและความผิดพลาดของมนุษย์ แต่ข่าวดีคือองค์กรสามารถลดความเสี่ยงหากมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสมและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยองค์กรควรมีทั้งแนวทางพื้นฐานไปจนถึงระดับเชิงกลยุทธ์ เพื่อช่วยองค์กรและผู้ใช้งานทั่วไปป้องกันข้อมูลสำคัญไม่ให้ถูกเข้าถึงหรือรั่วไหลโดยไม่ได้รับอนุญาต

เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล

การเพิ่มความปลอดภัยให้ข้อมูลเป็นแนวทางปฎิบัติขั้นพื้นฐานในการป้องกัน Data Breachโดยองค์กรควรมี ระบบการเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) ทั้งช่วงพักเก็บ (At Rest) และระหว่างส่งต่อ (In Transit) เพื่อให้ผู้ไม่หวังดีไม่สามารถอ่านข้อมูลได้แม้เข้าถึงระบบ ,การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control / Least Privilege) อนุญาตเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องเข้าถึงเท่านั้น, การทำ Data Masking หรือ Tokenization เพื่อลดความเสี่ยงของข้อมูลสำคัญ และ การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ (Backup & Recovery) เพื่อให้กู้คืนระบบได้หากเกิดเหตุร้ายแรง

การตั้งรหัสผ่านที่รัดกุม

รหัสผ่านเป็นทั้งมาตรการเพื่อความปลอดภัยแต่ก็ยังเป็นช่องโหว่ในการใช้โจรกรรมข้อมูลเหมือนกัน ดังนั้นการที่องค์กรมีมาตรการการตั้งรหัสผ่านที่เข้มงวดจึงสำคัญมาก โดยตามหลักการแล้ว รหัสผ่านควรมีหลักการดังนี้ 

  • ใช้อักษรตัวเล็ก ตัวใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์, หลีกเลี่ยงข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิด เบอร์โทร ชื่อเล่น
  • ห้ามใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายๆเว็บไซต์
  • เปิดใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
  • หลีกเลี่ยงการเข้า URL ที่ไม่ปลอดภัย

การคลิกลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือเป็นสาเหตุหลักของการติดมัลแวร์และเหตุการณ์ Phishing ผู้ใช้ควรตรวจสอบความปลอดภัยของ URL ก่อนคลิก เช่น ตรวจดูว่าเป็น HTTPS หรือไม่, ตรวจสอบชื่อโดเมนให้ถูกต้อง ไม่สะกดคล้ายแบรนด์จริง, หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก, ไม่คลิกลิงก์ที่ส่งมาจากอีเมลหรือ SMS ที่น่าสงสัย และเพื่อป้องกันเพิ่มเติม องค์กรควรติดตั้งระบบ Web Filtering, Email Security และทำ Cyber Awareness Training เพื่อช่วยให้พนักงานรู้ทันการโจมตี

เพิ่มความปลอดภัยของเครือข่าย

เพื่อลดโอกาสการเจาะระบบและจำกัดความเสียหายหากเกิดเหตุการณ์รั่วไหลองค์กรควร ติดตั้ง Firewall, ติดตั้ง IDS/IPS เพื่อตรวจจับการโจมตี, ใช้ Zero Trust Security, เปิดใช้งาน Network Segmentation ,อัปเดตแพตช์ระบบสม่ำเสมอ,ใช้ VPN 

กลยุทธ์การป้องกัน Data Breach สำหรับองค์กร

เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพองค์กรควร จัดทำ Incident Response Plan (IRP) เพื่อให้สามารถตอบสนองเหตุการณ์รั่วไหลอย่างรวดเร็วและลดความเสียหาย, ทำ Security Awareness Trainingเพื่อให้พนักงานเข้าใจความเสี่ยงและการโจมตีทางไซเบอร์, ทำการตรวจสอบช่องโหว่ (Vulnerability Assessment & Penetration Testing), ใช้ระบบตรวจจับและวิเคราะห์เหตุการณ์ อย่าง Log360 เพื่อตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติและแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์, กำหนดนโยบายข้อมูลและความปลอดภัยที่ชัดเจน

ความแตกต่างระหว่าง Data Breach และ Data Leak

Data Breach และ Data Leak มักถูกใช้แทนกัน แต่ในเชิงความปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งสองคำมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Data Breach คือเหตุการณ์ที่ข้อมูลถูกเข้าถึง ขโมย หรือเปิดเผยโดยผู้ไม่หวังดีผ่านการโจมตีซึ่งมี “เจตนาร้าย (malicious intent)” เป็นหัวใจสำคัญของเหตุการณ์ ส่วน Data Leak มักเกิดจากความผิดพลาดของบุคคลหรือการตั้งค่าระบบผิด เช่น เปิด Cloud Storage เป็น Public โดยไม่ตั้งใจ ส่งไฟล์ผิดคน หรือเก็บข้อมูลไว้ในพื้นที่ที่ไม่มีการป้องกัน โดยไม่มีการโจมตีจากภายนอก ทั้งนี้ แม้ Data Leak จะไม่เกี่ยวข้องกับแฮ็กเกอร์โดยตรง แต่ก็สร้างความเสียหายได้รุนแรงไม่แพ้ Data Breach 

กรณีศึกษา Data Breach ในประเทศไทย

Data Breach ใน ไทย มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในหน่วยงานรัฐและธุรกิจเอกชนในไทยอย่างต่อเนื่อง​ โดยหนึ่งในสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบมากที่สุด คือการรั่วไหลของข้อมูลประชาชนไทยกว่า 55 ล้านรายการ ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่บน Dark Web และประกอบด้วยข้อมูลอ่อนไหว เช่น ชื่อ–สกุล หมายเลขบัตรประชาชน และข้อมูลการติดต่อ ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐอีกแห่งหนึ่งก็เคยพบช่องโหว่ในเว็บแอปพลิเคชัน ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้งานกว่า 200,000 รายการ ถูกขายบนตลาดมืดและทำให้องค์กรต้องรายงานต่อ PDPC ทันที 

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทชั้นนำ

Marriott International

ในปี 2018 มีการเปิดเผยว่า ฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับชื่อ-สกุล, ที่อยู่, อีเมล, เบอร์โทร, วันเกิด, หมายเลขพาสปอร์ต, และข้อมูลบัตรเครดิตจำนวนหลายร้อยล้านรายการของลูกค้ารั่วไหล เครือโรงแรม Starwood Hotels & Resorts Worldwide ซึ่ง Marriott เข้าซื้อในปี 2016 รั่วไหลจากแฮ้กเกอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบนานหลายปี ซึ่งทำให้ข้อมูลลูกค้าหลายร้อยล้านคนรั่วไหล โดยสาเหตุเกิดจาก ระบบ Starwood ที่ Marriott ซื้อมา ยังคงใช้โครงสร้างเดิมที่มีช่องโหว่ และยังไม่มีการบูรณาการด้านความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ข้อบกพร่องด้านความปลอดภัย เช่น การตั้งค่าระบบไม่ดี แพตช์ที่ล่าช้า การแบ่งเครือข่าย (network segmentation) ที่ไม่เหมาะสม ถูกหยิบยกเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แฮ็กเกอร์อยู่ในระบบได้ยาวนาน และด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ Marriott ต้องเผชิญค่าปรับและการดำเนินคดีหลายคดี อย่างเช่น Information Commissioner's Office ของสหราชอาณาจักรเคยประกาศปรับ Marriott เกือบ £99 ล้าน และ Federal Trade Commission (FTC) กล่าวหาว่า Marriott และ Starwood มี “มาตรการความปลอดภัยที่ไม่ได้มาตรฐาน” และในปี 2024 ตกลงยอมจ่ายค่าปรับกว่า USD 52 ล้าน

Yahoo!

ในปี 2013 Yahoo ยืนยันว่าฐานข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดกว่า 3 พันล้านบัญชีถูกโจมตี และ ในปี 2014 Yahoo มีเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลอีกครั้ง​โดยรอบนี้ถูกโจมตีกว่า 500 ล้านบัญชีผู้ใช้ โดยในเวลาต่อมา yahoo เปิดเผยว่าผู้โจมตีใช้คุ้กกี้ปลอมซึ่งทำให้สามารถเข้าบัญชีผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน นอกจากนี้การแจ้งเหตุการณ์ยังล่าช้าทำให้เกิดความเสียหายและความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้การขาย กิจการในปี 2017 ถูกปรับราคาลดลงประมาณ 350 ล้านบาท

Microsoft

Microsoft เผชิญกับหนึ่งในเหตุการณ์ Data Breach ที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบเชิงกลยุทธ์อย่างมาก โดย บริษัทเปิดเผยว่าในช่วงกลางปี 2023 ผู้โจมตีที่ใช้ชื่อว่า Storm‑0558 มีกุญแจที่ใช้ในการสร้างโทเค็นการยืนยันตัวตน(authentication token) ซึ่งทำให้ผู้โจมตีสามารถปลอมโทเค็นและเข้าถึงบัญชีอีเมลบางส่วนขององค์กรและบุคคลจำนวนกว่า 20 องค์กร รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ ภายหลัง Microsoft เปิดเผยว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ใช้โดยตรงแต่เกี่ยวกับ “บัญชีภายในของบริษัท” ซึ่งต้นเหตุมาจาก การเกิด “crash dump” ของระบบที่ควรเก็บกุญแจไว้ในสภาพแวดล้อมที่แยกจากเครือข่าย (Isolated Production Environment) แต่ “Snapshot” ที่ควรถูกจำกัดกลับถูกย้ายไปยังสภาพแวดล้อม Debugging ที่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย และอยู่ภายใต้บัญชีพนักงาน Microsoft ซึ่งต่อมาได้ถูกแฮ็ก ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ส่งผลกระทบในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านกฎหมาย, ด้านปฏิบัติการ หรือด้านความเชื่อมั่น 

ตัวอย่างเหตุการณ์เพิ่มเติม : SBAMitsubishi Electric

Data Breach ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่คือความเสี่ยงเชิงธุรกิจที่ส่งผลกระทบทั้งด้านการเงิน กฎหมาย และความเชื่อมั่นของลูกค้า โดยจากสถิติทั่วโลกพบว่าเหตุการณ์รั่วไหลของข้อมูลเพิ่มขึ้นทุกปี และกว่า 68% มีสาเหตุมาจาก “พฤติกรรมมนุษย์” เช่น การคลิกลิงก์หลอกหรือใช้รหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย ขณะที่ในไทยเองก็พบเหตุการณ์ที่ต้องรายงาน PDPC ปีละ 30–50 เคส พร้อมค่าปรับตาม PDPA ที่สูงถึงหลายล้านบาท ทำให้องค์กรจำเป็นต้องเข้าใจ Data Breach ให้ลึกซึ้งทั้งลักษณะ รูปแบบ สาเหตุ และผลกระทบ เพื่อเตรียมมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง

เมื่อมองในมุมการป้องกัน ความท้าทายที่แท้จริงไม่ใช่เพียงตั้งนโยบาย แต่คือความสามารถขององค์กรในการ “มองเห็น” ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในระบบแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เครื่องมืออย่าง ManageEngine Log360 เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะสามารถรวบรวม วิเคราะห์ และตรวจจับเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ Data Breach ได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น Log360 ช่วยให้องค์กรตรวจพบพฤติกรรมผิดปกติของทั้งผู้ใช้ คนใน และผู้โจมตีจากภายนอก พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติตาม PDPA ผ่านการจัดเก็บบันทึกและหลักฐานที่ครบถ้วน ลดภาระทีมไอทีและเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ ความสามารถเหล่านี้ทำให้ Log360 ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือด้านความปลอดภัย แต่เป็นโซลูชันที่ช่วยให้องค์กร

คลิ้กเพื่อทดลองใช้ Log360 ฟรี

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Data Breach ได้ที่ : https://www.manageengine.com/cloud-siem/optus-data-breach.html

references : Data Breach มากกว่า 8,200 ครั้งทั่วโลก และเพิ่มขึ้นกว่า 20%ในปี 2024( Verizon DBIR 2023), Phishing อยู่ที่ 16%, Data Breach ทั่วโลกในปี 2025 อยู่ที่ USD 4.44 ล้าน( Cost of a Data Breach Report 2025), PDPA อยู่ที่ 2-4 ล้านบาท